Fighting Duo มาเหนือจ้าววว !!

 

          ลำพูน จังหวัดเล็กๆ ในภาคเหนือ ของกินเมืองเหนือ ก็อร่อยปะล้ำปะเหลือ!! “ทีม Fighting Duo” จังหวัดลำพูนมีวัดวาอารามที่สวยงาม ถือเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองชาวลำพูน ใครมีโอกาสต้องแวะมากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ แถมใกล้ๆ วัดยังมีร้านของหวาน-เครื่องดื่มขึ้นชื่อ และอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดคือ "ศูนย์การเรียนรู้ ผ้าทอธรรมชาติผู้สูงอายุ" มาแล้วจะได้ชมฝีมือการทอผ้าจากชาวลำพูนว่ากว่าจะได้ผ้าสวยๆ สักผ้ามีขั้นตอนอะไรบ้าง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจ ตามไปชมพร้อมๆ กับ “ทีม Fighting Duo” กันเลยค่ะ

 

หากคุณคือสาย Foodie หรือนักชิมขนานแท้ “Fighting Duo” จะพาคุณไปชิมและลิ้มรสความเป็นลำพูน ที่ไม่ใช่แค่เพียงอาหารเท่านั้น แต่มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยว และวิถีความเป็นอยู่ของชาวลำพูนให้คุณได้สัมผัสถึงแก่นแท้ กับทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน เที่ยวเท่ๆถึงๆ ไม่รอช้า ไปลุยกันเลยค่ะ !

วันกินเที่ยวที่ 1 :

 

 

เพียงเดินทางลัดขอบฟ้าจากกรุงเทพฯสู่เชียงใหม่โดยสายการบินแอร์เอเชีย(Air Asia) และขับรถยนต์โดยใช้บริการเช่าของเอวิส(AVIS) ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที เราก็ถึงยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้โดยสวัสดิภาพ “จังหวัดลำพูน”

มุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่แรกของวัน “ขนมเส้นหม้อดิน” ที่เป็นสูตรชาวลำพูนโดยแท้ และได้รับเลือกให้เป็นร้านอาหารประจำเมือง

 

 

บรรยากาศร้านมีกลิ่นไอความเป็นภาคเหนือ อบอุ่น กันเอง ถือเป็นอาหารมื้อต้อนรับที่น่าประทับใจเลยทีเดียว ราคาอาหารที่นี่เริ่มที่ 40 บาทเองค่ะ ราคาดีมากๆเลย พี่ๆที่ร้านก็ต้อนรับเป็นอย่างดีด้วยค่ะ

อิ่มท้องแล้ว เราไปยังใจกลางเมืองกันต่อค่ะ และจุดที่เราจะมาเยือนต่อมาคือ “วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร” ถือเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองชาวลำพูน เราจะเห็นได้ว่า ทั้งชาวท้องถิ่น และผู้มาเยือน ล้วนมาสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งสิ้น มีคุณค่าทางใจเมื่อได้มาเยือนมากๆค่ะ และจุดนี้นี่เอง ที่มีร้านเฉาก๊วยชื่อดังร้าน “เฉาก๊วยมุกดา” โดยตามรอยความอร่อยกันง่ายๆจาก www.ryoiireview.com นะคะ มีร้านน่าทานหลายร้านเลยค่ะ ส่วนเฉาก๊วยมุกดาก็ชื่นใจหวานมันสุดๆเลยค่ะ

 

 

ส่วนใครที่ไม่สันทัดของหวาน เราจะพาไปที่คาเฟ่ชื่อว่า “โรงชา” ค่ะ โดยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดพระธาตุหริภุญชัยมากนัก เดินลัดเลาะตามเส้นทาง และใช้เวลาระหว่างเดิน ชมผู้คนและเมือง ไม่นานนักก็ถึงแล้ว

ร้านโรงชาเป็นคาเฟ่เล็กๆ นั่งสบาย มีความวินเทจจากของสะสม ประดับประดาด้วยพืชพรรณนานาชนิด โทนสีร้านแฝงไปด้วยความน่าค้นหา ไม่ต่างจากชาแต่ละชนิด ที่ทางร้านปรุงขึ้น ไม่ว่าจะ ชาบลูมมิ่ง ชาลีแองเจิ้ล ชาช็อคโกแลตมิ้นท์ ชาลิ้นจี่ และอื่นๆอีกมากมายที่ปรุงขึ้นมาด้วยความตั้งใจ รสชาติเยี่ยมทีเดียวค่ะ แถมในร้านก็ยังมีมุมสวยๆให้ได้ถ่ายรูปด้วย ราคาอาหารเครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 18-159 บาทค่ะ เป็นอีกหนึ่งร้านในลำพูนที่ควรมาเยือนเลยก็ว่าได้

เวลาเริ่มบ่ายคล้อย อิ่มท้องพอสมควร ก็ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พักเพื่อเก็บข้าวของ  และเตรียมตัวสำหรับมื้อเย็นสุดพิเศษกันค่ะ

 

สำหรับคืนนี้เราเข้าพักที่ “ไทธานี ลอฟท์ แอนด์ ไลฟ์ ลำพูน” เป็นที่พักสไตล์ลอฟท์ตกแต่งห้องได้เท่ เหมาะกับนักเดินทางคูลๆอย่างเราที่สุดเลยค่ะ ราคาไม่แรง คุณภาพดี บริการประทับใจค่ะ

และแล้วมื้อเย็นที่รอคอยกับ “ครัววันดี” ก็มาเยือน

 

 

สังเกตได้ว่าผู้คนที่นี่ ก็ให้ความนิยมในการมาทานครัววันดีไม่น้อย ทั้งรูปแบบครอบครัว คู่รัก หลากหลายรูปแบบ อาจเพราะด้วยบรรยากาศร้านที่ดูสบายๆด้วย กับอาหารยอดนิยม ต้มเห็ดถอบน้ำพริกข่า แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง แอ็บรังผึ้ง แกงฮังเลลำไย ปลาทับทิมหนึ่งซีอิ๊วลำไย และออร์เดิร์ฟเมือง ที่ได้รับขนานนามว่าเด็ดจนต้องสั่งมาทาน รสชาติอาหารทุกจาน หยั่งถึงได้ถึงความเป็นภาคเหนือขนานแท้ ดีต่อใจเป็นที่สุด

และอีกหนึ่งไฮไลท์ตบท้ายที่ห้ามพลาดจริงๆเลยก็คือ ไอศกรีมมะพร้าวอ่อนเสิร์ฟคู่กับน้ำมะพร้าวน้ำหอม รสเลอค่ามากๆค่ะ รู้สึกดีตั้งแต่มายืนยันเดินทางกลับเลยค่ะ

หลังจากทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว เรายังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้างที่จะเดินเล่นชมผู้คนในกาดโต้รุ่ง(น้อย) ติดกับอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี อาหารที่นี่ดูน่าทานไปซะหมด จนเราแทบลืมไปเลยว่าทานอาหารมาก่อนหน้า ลองถามผู้คนในท้องถิ่นว่า หากมาที่นี่ควรไปที่ร้านไหนดี และได้รับคำตอบว่า “ร้านจ่าเหลา หมูทอด”

 

 

เสียงน้ำมันเดือดปะปนไปกับตะหลิวที่กระทบกับกระทะ คล้ายเป็นเสียงเรียกให้เราเดินเข้าไปหา เราตามกลิ่นหอมนั้นไป ไม่นานนักจะพบกับร้านจ่าเหลาหมูทอด ที่ต่อให้ดึกแค่ไหนผู้คนก็จะยังเนื่องแน่น เข้ามากันอย่างไม่ขาดสาย หมูทอดที่นี่ราคาอยู่ที่ 50 บาท(จานเล็ก) และ 200 บาท(จานใหญ่ ครึ่งกิโลกรัม) หากสั่งแบบครบๆ ก็จะมีข้าวเหนียว 10 บาท น้ำพริก 5 บาท ผักจานกลม 20 บาท ความอร่อยไม่ต้องพูดถึง ดีทุกอย่างจริงๆค่ะ ลงตัวดีมาก ย้ำว่า ต้องมาให้ได้นะคะ

วันกินเที่ยวที่ 2 :

ตื่นเช้ามา อากาศเย็นดีมากๆค่ะ เราเลยปักหมุดมายังร้านที่เปิดเช้า และปรับอุณหภูมิร่างกายให้อุ่นๆ อย่าง “ร้านโกฮัง บะหมี่-เกี๊ยว” อยู่บริเวณด้านหลังวัดพระธาตุหริภุญชัย ที่เปิดมานานกว่า 38 ปี ความอร่อยจะอยู่ที่น้ำซุปเด็ดหอมกรุ่น และบะหมี่เส้นเหนียวนุ่ม ไม่ต้องปรุงก็อร่อยแล้วนะคะ ราคาอาหาร 40-60 บาท ชามเดียวอิ่มและคุ้มมากๆค่ะ

 

ต่อมา เราเดินทางมายังหน้าวัดชัยมงคล เพื่อแวะมาที่ “ร้านกาแฟลุงสมใจ”

เป็นร้านกาแฟเล็กๆ มีไข่ลวก โอเลี้ยง ชา และเมนูอื่นๆประปราย อาจไม่ใช่ร้านดังที่หลายๆคนตามหานัก แต่สะท้อนวิถีความเป็นอยู่ของชาวท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ระแวกใกล้เคียงก็มีร้านค้าขายอาหาร ขนมไทย

 

ผู้คนรวมตัวกันมาที่ร้านลุงสมใจเพื่อดื่มกาแฟยามเช้า และพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน เหมือนเวลาของพวกเขามีมากพอที่จะปันสุขให้กันและกัน เป็นเรื่องเล็กๆที่เห็นแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกค่ะ อิ่มใจพร้อมเดินทางกันต่อ ยังอำเภอลี้แล้วค่ะ ไปกันเลยนะ

ระหว่างทางเราได้แวะที่ “วัดพระพุทธบาทตากผ้า” อยู่ในอำเภอป่าซาง ที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของการศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรม และบาลี ของพระภิกษุสามเณรภาคเหนือ ภายในวัดมีจุดการเรียนรู้ด้านต่างๆที่ศาสนาพึงมี และมีมุมสงบๆพอที่จะให้นั่งสูดอากาศและวางแผนการเดินทางต่อไป และจุดหมายต่อไปของเราคือ “วัดพระพุทธบาทผาหนาม” ค่ะ

เมื่อเราเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ของ “ครูบาอภิชัยขาวปี นักบุญแห่งเวียงลี้” อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินสายตามอง นั่นแปลว่าเราใกล้ถึง “วัดพระพุทธบาทผาหนาม” แล้วนะคะ ภายในวัดได้เก็บพระสรีระครูบาขาวปี(ศิษย์เอกครูบาศรีวิชัย) ที่ไม่เน่าเปื่อยไว้ในโรงแก้ว ในหอประสาทรักษาศพ ให้ผู้คนมาสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตน 

 

 

ส่วนบริเวณด้านบนของวัด จะเป็นพระธาตุอยู่บนดอย คือ พระธาตุทองและพระธาตุขาว สามารถขับรถขึ้นไปได้ค่ะ และนอกจากนี้แล้วทั้งเวลาเช้าและเย็น ที่นี่ถือเป็นจุดชมตะวันขึ้นและตะวันตกดินที่สวยงามมากๆค่ะ ด้านบนสามารถมองเห็นรอบเมือง 360 องศาเลยค่ะ ชมวิวเสร็จแล้วเดินทางกันต่อค่ะ ใกล้ถึงที่หมายแล้วนะ

เราเดินทางมาถึงอำเภอลี้ และมุ่งตรงไปยัง “แก่งก้อ” หรือ “อุทยานแห่งชาติแม่ปิง” น้ำแห้งลดระดับลงไปมาก และมีจุดที่น้ำเชี่ยว เราจึงไม่สามารถเดินทางไปยังโรงเรียนบ้านก้อจัดสรร สาขาเรือนแพได้ แต่เป็นโอกาสดีที่เราจะชมวิว ดูชาวท้องถิ่นเดินเรือ ตกปลา และเนื่องจากระดับน้ำต่ำ เราจึงเห็นสายน้ำได้ชัดเจน และเก็บภาพสวยๆมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ

 

 

สำหรับคืนนี้ เราเข้าพักที่ “บ้านกลางดอย” ที่พักสวยสไตล์ธรรมชาติ พร้อมกับทำอาหารทานกันกับชาวท้องถิ่น เป็นอาหารง่ายๆจากท้องถิ่นจริงๆ มีผักจากสวนหลังบ้าน โดยมีคุณแม่กัลยาณี​  เกตุแก้ว ผู้นำชุมชนคอยดูแลให้ความรู้ตลอดการมาเยือนอำเภอลี้ค่ะ

 

 

ผู้คนที่นี่น่ารักมากๆค่ะ เราทำกับข้าวด้วยกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนขอความรู้กับพี่ๆ ได้ความรู้เพิ่มเติม ต่อเนื่องมายังทริปสำหรับวันที่ 3 คราวนี้สนุกแน่ๆค่ะ

วันกินวันเที่ยวที่ 3 :

สำหรับเช้านี้เรามายังศูนย์การเรียนรู้ ผ้าทอธรรมชาติผู้สูงอายุ โดยคุณแม่กัลยาณีผู้นำชุมชน ได้ก่อตั้งและเชิญชวนผู้สูงอายุในชุมชน มาทอผ้าฝ้ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน และสร้างคุณค่าให้ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดี ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงค่ะ ที่นี่เราก็จะพบกับคุณป้าคุณย่าคุณยายนั่งทอผ้ากัน โดยคุณแม่กัลยาณีแนะนำตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกฝ้ายจนกลายเป็นผ้าหนึ่งผืนสวยงาม ไม่ง่ายเลยนะคะ

 

 

ต่อมาเราเดินทางมายังสวนลำไยค่ะ อยู่ระแวกเดียวกันศูนย์การเรียนรู้ ตอนนี้ลำไยกำลังออกดีเชียวค่ะ และเป็นครั้งแรกที่เด็ดลำไยทานจากต้น หวานอร่อยมากๆค่ะ

 

 

ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับเข้าเมืองอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ก่อนกลับเราแวะไป “อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี” เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตน

 

 

จากนั้นขอแวะร้านเด็ดอีกสักร้านนะคะ สำหรับร้านนี้ ถ้าไม่แวะก็คงเหมือนไม่ถึงลำพูน อย่างที่ www.ryoiireview.com ได้มีการแชร์ไว้ ร้านนี้มีชื่อว่า “ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย” ค่ะ

 

 

ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย เปิดมากว่า 20 ปี เมนูที่ควรตามรอยมี ก๋วยเตี๋ยวทรงเครื่องโบราณ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย ที่มีความหวานของลำไยทำให้น้ำซุปหวานกลมกล่อม อีกทั้งกระดูกหมู เครื่องแน่นๆ ราคา 40-50 บาทเท่านั้น แต่ความอร่อยเกินราคามากๆค่ะ สมกับที่ตั้งใจให้เป็นร้านสุดท้ายของทริปจริงๆ

ก่อนกลับบ้าน ต้องแวะร้านของฝากสักนิด เราจึงมากันที่ “ขัวมุงท่าสิงห์” ค่ะ เป็นแหล่งช๊อปปิ้งของฝาก มีทั้งผ้าไทย ลำไย ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ทำจากลำไย และอื่นๆอีกมากมายค่ะ ช็อปกันได้จุใจเลยนะคะ เพราะกระเป๋าเดินทางเราจุได้ถึง 20 กก. ใส่ของได้สบายมากๆเลยค่ะ ถึงสนามบินแล้ว โหลดกระเป๋าพร้อมเดินทางกลับโดยสายการบินแอร์เอเชียเช่นเคย ทริปนี้ประทับใจมากๆค่ะ ได้ครบทุกความรู้สึกเลยจริงๆ คราวหน้ามาพบกันใหม่นะคะ มาดูว่าทริปหน้าเราจะพาเพื่อนๆที่ไหนกัน ขอบคุณที่ติดตามพวกเราทีม Fighting Duo นะคะ สวัสดีค่ะ

 







TOP